อดีตนักชกชาวอังกฤษ จอห์น ไรเดอร์ ยอมรับว่าการอยู่ในมุมปลอดภัยนอกเชือกเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย แต่เจ้าตัวก็เริ่มสนุกกับบทบาทใหม่ในฐานะผู้ช่วยโค้ชที่ Matchroom Gym ของโทนี่ ซิมส์ ในเมืองเอสเซ็กซ์ ประเทศอังกฤษ
โดยได้ดูแลนักชกรุ่นใหม่อย่าง รามลา อาลี, เมซีย์ โรส, จอร์จ ลิดดาร์ด, จิมมี เซนส์ และ คอเนอร์ เบนน์
ไรเดอร์ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นมวยซ้ายหัวใจแกร่ง เคยผ่านศึกเดือดกับนักชกที่มีชื่อเสียงมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แดเนียล จาคอบส์, ไฮเม่ มุนกีอา, นิก แบล็กเวลล์, คอลลัม สมิธ, ร็อคกี้ ฟิลดิง, เจมี่ ค็อกซ์ รวมถึงไฟต์ที่แฟนมวยจดจำที่สุด การยืนหยัดครบ 12 ยกกับ ซาอูล “คาเนโล” อัลวาเรซ ที่เม็กซิโก เมื่อปี 2023 แม้จมูกหักตั้งแต่ยกสองและเลือดอาบตลอดทั้งไฟต์
หลังแพ้น็อคให้กับ มุนกีอา ในยก 9 เมื่อเดือนมกราคม 2024 ไรเดอร์ ตัดสินใจแขวนนวมทันที ปิดสถิติอาชีพที่ 32-7(18 KO) โดยเจ้าตัวบอกว่าไม่รู้สึกลังเลแต่อย่างใด
“การเลิกมันไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการอยู่กับการเลิกให้ได้” นักชกวัย 37 ปีกล่าว “โชคดีที่ตอนนี้ผมได้ใช้เวลากับครอบครัว อยู่ในยิม และไม่ต้องถูกดึงดูดด้วยไฟต์เงินล้านที่เสี่ยงเกินไปอีกแล้ว ชีวิตมันดีมากจริง ๆ”
แม้หลายคนเชื่อว่าเขาควรได้รับชัยชนะเหนือ คอลลัม สมิธ เมื่อปี 2019 ที่ลิเวอร์พูล แต่ ไรเดอร์ ไม่ยึดติดกับอดีต
“ผมรู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะอยู่ดี เหมือนได้แจ็กพ็อตจากวงการมวย ผมได้เดินทางรอบโลก เจอผู้คนมากมาย และสร้างความทรงจำที่มีค่ามหาศาล” เขากล่าว
ไฟต์กับ คาเนโล่ ถือเป็น การทดสอบสุดท้าย ของไรเดอร์
“ตอนนั้นผมคิดว่าประสบการณ์จะทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น แต่ในวัย 35 มันกลับหนักหนาเกินไป หลายคนถามว่าทำไมถึงลุกขึ้นมาสู้ต่อหลังโดนนับยกห้า คำตอบคือ ศักดิ์ศรี เพราะถ้าคุณยอมแพ้ คุณจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้ขลาดไปตลอด” เขายอมรับ
วันนี้ ไรเดอร์ สุขภาพแข็งแรงดี และใช้ประสบการณ์เหล่านั้นถ่ายทอดให้นักชกรุ่นใหม่
“เวลาเราเล่าให้พวกเขาฟังว่าต้องกัดฟันสู้ต่อ พวกเขารู้ว่าผมเคยยืนสู้กับหนึ่งในนักชกที่ดีที่สุดในโลก ทั้งที่จมูกหักตั้งแต่ต้นไฟต์ มันทำให้คำพูดของผมมีน้ำหนัก”
ทุกครั้งที่เดินขึ้นเวทีในฐานะเทรนเนอร์ ความรู้สึกอะดรีนาลีนยังคงพลุ่งพล่านเหมือนสมัยชกเอง โดยเฉพาะตอนพา รามลา อาลี เดินขึ้นสังเวียนที่ เมดิสัน สแควร์ การ์เดน ในนิวยอร์ก
“มันทำให้ผมยังรู้สึกถึงบรรยากาศไฟต์ใหญ่ ๆ อยู่เสมอ เพียงแต่ตอนนี้ไม่ต้องลดน้ำหนักหรือขึ้นชกเองแล้ว แค่ยืนคุมและบอกลูกทีมว่าจะทำอย่างไร นั่นก็ดีพอแล้ว”